ฝ้า (Melasma) ภาวะนี้มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ในผู้ชายก็สามารถพบได้เช่นกัน ลักษณะเป็นผื่นที่มีลักษณะเป็นจุดสีคล้ำที่อยู่บนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก ดั้งจมูก แก้ม คาง และเหนือริมฝีปาก ส่วนใหญ่จะเป็นเท่ากันสองข้าง เกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดสี (melanin pigments) ที่บริเวณผิวหนังชั้นนอกและในที่ถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด (รังสี UVA และ UVB) ทำให้มีสีคล้ำขึ้น มักพบในคนที่อยู่ในประเทศเขตร้อน เช่น อินเดีย ศรีลังกา ซูดาน ประเทศแถบทะเลคาริเบียน ออสเตรเลียตอนบน หรืออย่างประเทศไทย เป็นที่ย่าสนใจไม่น้อยเมื่อเราพบว่าคนเอเชียได้มากกว่าคนผิวขาวเสียอีก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งปัญหาผิวที่รบกวนใจในหลาย ๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของผู้หญิงทุกช่วงวัย แต่ทุกคนนั้นรู้ไหมว่าเกิดมาจากสาเหตุอะไรหากเรารู้ก็เกิดการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเหล่านั้นได้ และถ้าหากเป็นแล้วแต่ไม่อยากเสี่ยงกับเครื่องหัตถกรรมการแพทย์ วันนี้เราก็มีวิธีการ รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ให้ทุกคนด้วยนะคะ
ก่อนอื่นเรามารู้สาเหตุการเกิดปัญหานี้ การเกิดฝ้ามาจากการสร้างเม็ดสีผิว (Melanin) ในใต้ชั้นผิวหนังทำงานหนักผิดปกติ มีสาเหตุหลักไม่กี่ปัจจัย คือ
แล้วฝ้านั้นก็แบ่งย่อยประเภทอีก 3 ชนิด ดังนี้
เอาล่ะค่ะเมื่อเรามองเห็นภาพรวมของสาเหตุแล้ว เพื่อน ๆ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดได้แล้วกว่า 80% แต่ในเมื่อฝ้าได้เกิดขึ้นแล้ว อยากหายด้วยวิธีธรรมชาติก่อนที่จะพึ่งการแพทย์เราก็มีวิธีมาฝากกันอีกเช่นเคยนะคะ ลองดูกันเลยดีกว่า
คนที่เป็นฝ้าควรมีครีมกันแดดติดตัวประดุจยาประจำบ้าน ย้ำว่าควรทาทุกวันก่อนออกแดด และทาซ้ำระหว่างวันด้วยนะคะ จากที่บอกไปว่า หนึ่งในสาเหตุของการเกิดฝ้านั้นมาจากแสงแดดที่มีรังสียูวีเอและยูวีบี ที่จะตุ้นเมลานีนทำงานเพิ่มขึ้น ให้ผิวหมองคล้ำและเกิดฝ้า การที่เราทาทุกวันนอกจากจะป้องกันฝ้าแล้ว ยังสามารถป้องกันริ้วรอยจากแสงแดดที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตอีกด้วย ปกป้องสองต่อสวย ๆ ไปเลย
จริง ๆ แล้วถ้าอยากต้องการเพิ่มโดสให้ฝ้าจางลงหรือปกป้องผิวจากสาเหตุการเกิดฝ้า อาจจะต้องรับประทานอาหารเสริมวิตามิน C , E หรือคอลลาเจน เพื่อกระตุ้นการทำงานโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายในนั่นเอง หรือในผักผลไม้ต่าง ๆ เช่น ฝรั่ง แครอท ส้ม ผักใบเขียว ไข่ไก่ อาหารประเภทถั่ว อะโวคาโดหรือเนื้อสัตว์แดง ก็จะช่วยส่งเสริมการสร้างวิตามินธรรมชาติให้กับคุณแถมกระตุ้นคอลลาเจนในร่างกายสร้างเกราะคุ้มกันให้ผิวแข็งแรงไกลห่างจากฝ้า
ผิวที่เป็นฝ้านั้นอ่อนแอและมักจะขาดน้ำ เมื่อได้รับสิ่งเร้ามาก ๆ ก็จะเกิดอาการเห่อแดงและกระตุ้นให้เกิดฝ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เราจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก แนะนำให้โบกผิวด้วยครีมมอยซ์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากแอลกอฮอลจะดีที่สุด หรือถ้าไม่ชอบความเหนียวเนอะหนะ ก็ลองใช้แบบมอยซ์เจอไรเซอร์เจลที่มีส่วนผสมMLE เสริมสร้างเพราะป้องกันผิว ปลอบประโลมกระและรอยแดง หรือถ้าใครชอบส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดเราแนะนำเป็นว่านหางจระเข้ นำเนื้อวุ้นด้านในมาทาที่บริเวณหน้า พอกไว้ 15 นาทีแล้วทาวน ๆ ก่อนล้างออก และเก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิดและใส่ตู้เย็นค่ะ หากคุณไม่รู้ว่าจะเลือกมาส์กแบบไหนดี คุณสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บทความ เลือกมาส์กหน้าให้ถูกต้อง
ใบบัวบก (Centella Asiatica) นอกจากจะรักษาอาการช้ำใน อักเสบ บาดแผลไฟไหม้ กรดมาเดคาสสิก กรดอะเซียติก และสารอะเซียติโคไซด์ในใบบัวบกยังสามารถลดรอยกระได้จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ เพียงแค่นำใบบัวบกสดไปปั่นแล้วคั้นเอาน้ำสด ๆ มาประโลมหน้าเป็นโทนเนอร์ปรับสภาพผิวก่อน แล้วนำไปพอกหน้าประมาณ 20 นาที แนะนำว่าให้ทำช่วงตอนก่อนนอนเป็นประจำ หรือถ้าไม่กลัวกลิ่นเขียวจากใบก็สามารถลงได้ทั้งเช้า-เย็น
นอกจากเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ไว้ขัดตัวผิวสวยใสแล้ว เราสามารถนำมาพอกบนใบหน้า 5 นาทีแล้วล้างออก ก็จะช่วยพลัดเซลล์ผิวใหม่ รอยกระจางไวยิ่งขึ้น แต่ไม่แนะนำให้พอกเกิน 10 นาทีและทำเพียงแค่สัปดาห์ละครั้งพอ เพราะในมะขาวเปียกมีกรด AHA อ่อน ๆ หากทิ้งไว้นาน ๆ ผิวอาจระคายเคืองได้ และการใช้บ่อยเกินไปทำให้ผลัดเซลล์ผิวมากเกินไปและทำให้ผิวแดงง่าย
แต่ก็มีข้อระวังเล็กน้อยเนื่องจากหัวไชเท้ามีกรดมีสารไกลโคไซด์ (Glycossides) ที่มากไปด้วยกรดแอสคอบิก (Ascorbic Acid) อย่างเข้มข้น ในงานวิจัยพบว่าสามารถรักษาฝ้าได้ หากเป็นผิวที่ไม่แพ้ง่ายก็สามารถก็หั่นแว่น วางพอกหน้าสด ๆ ได้เลย หรือทางที่ปลอดภัยคือหั่นหัวไชเท้าแล้วนำไปแช่เย็นก่อนวาง หรือ นำหัวไชเท้าแช่เย็นไปบดผสมกับรำข้าวให้ละเอียดเป็นเนื้อครีมก่อนพอกหน้าก็จะช่วยลดความระรายเคืองจากกรดได้ แต่วิธีใครผิวแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง
จาก 6 วิธีการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ ก็จะช่วยเพื่อน ๆ ประหยัดค่าหัตถการแสนแพงได้และไม่ต้องกังวลเรื่องระคายเคืองเนื่องจากส่วนใหญ่มาจากธรรมชาติล้วน ๆ เพียงเพื่อน ๆ เลือกใช้วิธีเหล่านี้ให้เข้ากับผิวและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน หรือจะทดสอบว่าเราจะแพ้ง่ายไหม ก็สามารถนำสมุนไพรมาทาไว้บริเวณข้อพับหรือหลังหูเช้าเย็นเป็นเวลา 3-5 วัน เท่านี้ก็สามารถรู้เบื้องต้นได้ว่ามีการระคายเคืองหรือไม่
ที่มา
https://www.khonkaenram.com/th/services/health-information/health-articles/beauty/melasma