สกินแคร์รักผิว รักษ์โลก จากหลากหลายเหตุการณ์ซึ่งส่งผลกระทบต่อโลกที่ผ่านมา ไม่ว่าจะ ไฟไหม้ป่าที่ประเทศบราซิลจากโลกร้อน, สัตว์น้ำกินพลาสติกจนตายและค่อย ๆ ทยอยลดจำนวนลง รวมไปถึงน้ำแข็งขั้วโลกแอนตาร์กติกที่ละลายลงอย่างรวดเร็ว จากเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ด้วยการบริโภคและสร้างขยะที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว! จะว่าไปคงไม่มีใครอยากอาศัยอยู่ในมลภาวะที่เป็นพิษ มนุษย์ทุกคนต่างก็ต้องการอากาศบริสุทธิ์ มีน้ำใสสะอาดไว้ใช้อุปโภคและบริโภค หากเราทุกคนเพิกเฉย ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนในตอนนี้ อนาคตโลกของเราก็คงแย่ลงขึ้นเรื่อยๆ อาจกลับมาดีเหมือนเดิมหรือดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว สาวๆที่หลงไหลในสกินแคร์ก็เป็นส่วนหนึ่งการรักษ์โลกได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนวิธีเลือกผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ใช้ อาจใช้สกินแคร์อะโวคาโดบำรุงผิวหรือตัวอื่นๆจากธรรมชาติ ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน
ความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่า sustainable, eco-friendly และ recyclable? คืออะไร
แนวคิดจะเน้นผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม, สังคม และเศรษฐกิจ เป็นหลัก ควบคู่ไปกับการปกป้องสุขภาพของผู้ใช้ รวมถึงสิ่งแวดล้อมตลอดช่วงชีวิตของพวกเราทั้งหมด ครอบคลุมทุกกระบวนการกว่าจะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ 1 ชิ้น ตั้งแต่ขั้นตอนสกัดส่วนผสมไปจนถึงการกำจัดผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนสุดท้าย และที่สำคัญคือจะไม่เลือกใช้ส่วนผสมที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
Eco-friendly ความหมายตรงตัวเลยว่า “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต, การกำจัด รวมไปถึงส่วนที่เราชะล้างลงท่อระบายน้ำ คลอบคลุมตั้งแต่กระบวนการการผลิตไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้ไปอยู่ในมือของผู้ซื้อ
การรีไซเคิลโดยทั่วไปจะเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ โดยขั้นตอนจะนำวัสดุเหลือทิ้งมาใช้ใหม่และเมื่อทิ้งก็ทำให้สามารถกลับมาผลิตใหม่ได้อีกครั้ง
เมื่อเรารู้แล้วว่าผลิตภัณฑ์ความงามแต่ละแบบที่ระบุ sustainable, eco-friendly และ recyclable มีความหมายว่าอะไร เราก็มาเริ่มเปลี่ยนบิวตี้รูทีนของเราให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกับ 5 วิธีง่าย ๆ กันเถอะ
1. ผลิตภัณฑ์เป็น cruelty-free และต่อต้านการทดสอบกับสัตว์ หรือไม่?
ก่อนที่จะซื้อสกินแคร์ทุกครั้งอยากให้สาวๆ ลองสังเกตหรือมองหาสัญลักษณ์รูปกระต่าย จะช่วยการันตีได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่มีการทดสอบกับสัตว์ แต่ถ้าหากคุณหาตรากระต่ายไม่เจอ คุณแค่ดูแบรนด์ให้แน่ใจว่า ผลิตภัณฑ์ของทั้งแบรนด์นั้นได้ขึ้นคือว่าเป็น Cruelty-Free เช่น แบรนด์ BECCA, COVER FX, Frank Body, Hourglass Cosmetics, Indie Lee, IGK, Kat Von D Beauty, Kopari, Marc Jacobs Beauty, Pixi Beauty, Sigma Beauty, Smashbox, Sunday Riley, Stila, Tarte, Too Faced, Uma Oils, Urban Decay, Herbivore Botanicals, Zoeva และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณไม่แน่ใจควรจะสอบถาม BA เพิ่มเติม
2. มีส่วนผสมจากธรรมชาติเป็นหลัก
Noni Radiant Eye Oil จาก KORA ORGANICS BY MIRANDA KERR ประมาณ 1,490 บาท
น้ำมันบำรุงผิวรอบดวงตาผสานสารสกัดจากลูกยอที่อุดมด้วยวิตามินกว่า 100 ชนิด
อย่างที่ถูกคนทราบกันดีว่าการใช้เครื่องสำอาง, สกินแคร์ ที่มีส่วนผสมจากพืชเป็นหลักค่อนข้างมีความปลอดภัยในหลายๆด้านและดีต่อผิว เช่น ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว ไม่มีสารตกค้างที่ทำให้เกิดการอุดตัน ฟื้นฟูผิวได้ดีเมื่อใช้เป็นประจำ และคุณสามารถมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม ที่เขียนไว้ว่า organics ingredients ได้เช่นกัน วัตถุดิบที่ปลูกปราศจากสารเคมี จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยต่อผิว และปลอดภัยต่อโลกของเรา นอกจากนี้หากคุณใช้สกินแคร์บางตัวแล้วยังไม่ได้ผลอาจสนใจบทวามนี้ ใช้โทนเนอร์ทุกวันแต่ไม่เห็นผล?
3. ใช้ได้อเนกประสงค์
BIRTHDAY BALM DOTCOM จาก GLOSSIER ประมาณ 600 บาท ลิปบาล์มไม่มีสี บำรุงปากลดอาการปากแห้งแตกลอกได้ดี และสามารถทาได้ทุกจุดที่ผิวแห้ง
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบอเนกประสงค์นั่นก็คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เราเลือกซื้อใช้เพื่อเป็นจุดประสงค์หลักแล้วยังสามารถใช้ในตำแหน่งอื่นๆของร่างกายได้อีก เช่น การเลือกใช้บลัชออนที่สามารถใช้ได้ทั้งแก้มและปาก หรือ บาล์มที่ทาได้ทั้งเรียวปาก, ข้อศอก, ผิวหน้า เป็นต้น กล่าวคือ ยิ่งเราใช้ผลิตภัณฑ์น้อย อัตราการเกิดขยะจาก packagaing ก็จะลดน้อยลงไปด้วย เปลี่ยนการคิดใหม่โดยลองมองหาผลิตภัณฑ์แบบ 2 in 1 ที่สามารถใช้ได้หลายคุณสมบัติ เพราะนอกจากลดขยะจากบรรจุภัณฑ์ได้แล้ว ยังช่วยเซฟเงินเราได้ด้วย ดีงามมากแม่!
4. รีไซเคิลได้
บรรจุภัณฑ์ในเครื่องสำอาง, สกินแคร์ มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ เมื่อใช้หมดแล้วมักจะถูกทิ้งทันที โดยไม่ได้คำนึงถึงการกำจัด ซึ่งส่วนประกอบของวัสดุอาจจะมีพลาสติกหรือสิ่งที่ย่อยสลายได้ยาก หากเราเลือกผลิตภัณฑ์ที่บรรจุภัณฑ์ทำจากวัสดุรีไซเคิลและสามารถนำกลับไปผลิตใหม่ได้อีก ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดจำนวนขยะย่อยสลายได้
5. นำไปบริจาคบ้าง
หากเป็นของที่ใช้ต่อได้แต่เราไม่ต้องการมันแล้ว การส่งมอบให้กับมูลนิธิ, จิตอาสา หรือองค์กรที่ต้องการก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้การใช้ได้อย่างคุ้มค่า อาทิ ส่งต่อเครื่องสำอางให้กับโรงพยาบาล จุดบริการเครื่องสำอาง แผนกนิติเวช โรงพยาบาลจุฬา และที่อื่น ๆ อย่าโยนทิ้งเพียงแค่ไม่อยากใช้แล้ว เพราะนอกจากจะเป็นการทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ยังกลายเป็นขยะที่เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วยนะคะ